แรกเริ่มตอนที่รู้ตัวว่าจะได้มาเรียนต่อที่ประเทศไอร์แลนด์ก็มีความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เพราะ ฝันใฝ่มาตั้งแต่เด็กๆแล้วว่าสักวันต้องไปเรียนต่อเมืองนอกให้ได้ ขอสักประเทศที่เป็นประเทศพูดภาษาอังกฤษ แต่ตั้งแต่เด็กๆ ทั้งพ่อและแม่ก็ บอกว่าอยากไปก็ ต้องสอบชิงทุนเอาเอง จนเวลาล่วงเลยมาจนจบปริญญาตรี พ่อแม่ก็คงเห็นว่าลูกเราคงจะไม่มีแววชิงทุนได้กะเค้าและเห็นว่าประเทศไอร์แลนด์กะลังเปิดตลาดทางการศึกษาให้กับนักเรียนต่างชาติ เลยถือโอกาสนี้ส่งลูกรักไป
ในที่สุดก็ มาถึงไอร์แลนด์จนได้++ ก่อนไปก็คุยกะเพื่อนๆว่า จะไปเรียนต่อนะ ที่ไอร์แลนด์ เพื่อนก็ไรนะ ไอซ์แลนด์หรอ? ทำไมถึงไป? ไอร์แลนด์นี่อยู่ตรงไหนเนี่ย??? ไอ้เราก็เริ่มเสียศูนย์แต่ก็ ตั้งหลักได้และตอบไปอย่างทันควันว่า ก็ เป็นประเทศในทวีปยุโรปนะ ไปเสิชกูเกิลเอาเอง จวบจนเวลาผ่านมาและขาก้าวย่างเข้าประเทศ ทีแรกก็ ไม่ได้ตั้งความหวังไรมากมายเพราะจริงๆแล้วอยากไปเรียนที่อเมริกามากกว่า พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าเราคงมาถูกทางแล้ว เพราะประเทศนี้คนใจดีและมีไมตรจิตกับทุกคนที่เดินผ่านไปมา ก็ จะยิ้มทักทายกันเสมอ ครั้นพอเริ่มเรียนคลาสแรก็ มีความรู้สึกว่าเราคงต้องปรับตัวอีกมาก เพราะสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษที่นี่เป็นแบบชาวไอริช ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับ สำเนียงอเมริกันมากกว่า แต่ฟังไปฟังมาก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แถมยังได้ศัพท์สำนวนแปลกๆในการทักทายพูดคุยกันกับชาวไอริชอีกต่างหาก ถือว่าเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ชีวิตชาวต่างชาติอย่างเราๆพลาดไม่ได้
เรื่องการกินปากท้องก็ เป็นอีกเรื่องที่สำคัญและขาดไม่ได้ ก่อนมาก็ได้แต่ทำใจแล้วว่า คงลาจากอาหารไทยไปนาน อีกอย่างก็ทำกับข้าวไม่เป็นด้วย อยู่บ้านแม่ก็ ทำให้ตลอด ปรากฎไม่ใช่เลย ที่ไอร์แลนด์มีร้านขายอาหารของเอชียมากมาย และการเรียนรู้ก็ เกิดขึ้น เมื่อไม่เคยคิดว่าทำกับข้าวได้ สกิลทักษะการทำอาหารเข้าครัวก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ( ก็พอกินได้ละกาน) เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ คิดถึงเมืองไทย เกิดคำถามขึ้นมาในใจ (อีกรอบ) ว่า นี่เรามาทำอะไรที่นี่? ทำไมไม่ต่อโทที่ไทย อากาศก็หนาว ฝนตกก็บ่อย ความรู้สึกแปลกๆเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะสาขาวิชาที่เรียนโทช่างแตกต่างกับตอนเรียนตรีมาก เลยต้องปรับตัวกันมากมาย พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเองมากมาย
แต่สุดท้ายนี่แหละคือสิ่งที่เราได้รับไม่เพียงแต่ความรู้ในห้องเรียนจากสาขาวิชาที่เรามาเรียนที่นี่ สิ่งต่างๆรอบๆตัวเราก็เป็นอีกเรื่องที่เราได้รับและหล่อหลอมให้เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ตามกาลเวลา ยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าเรียนโทที่ไทย ความรู้สึก หรือแง่มุมในการมองโลกและการใช้ชีวิตคงไม่เป็นไปอย่างวันนี้แน่ๆ วันที่รับปริญญาที่หอประชุมมหาวิทยาลัยที่นี่ เป็นความรู้สึกที่ปลาบปลื้มภูมิใจอย่างมาก ความรู้สึกต่างๆภาพต่างๆจากวันแรกพร้อมกับความกลัว ความประหม่า ความไม่เข้าใจ จบลงที่นั่น กลับกลายเปลี่ยนไปเป็นพลังแห่งความเชื่อมั่น และความสุขอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว